25 ส.ค. 2555

สิ้นกวีแผ่นดินสยาม อังคาร กัลยาณพงศ์


ฉัน​เอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า​ ชั่วฟ้าดินสมัย ๚... 


ศิลปินแห่งชาติคนนี้มีผลงานที่เรียกว่าไม่มีใครเทียบได้
ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ เมื่อเวลา ๐๑.๓๐ น.
อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ ด้านกวีนิพนธ์  วัย ๘๖ ปี
ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบ  หลังจากป่วยเป็นเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานมานาน
โดยมีพิธีรดน้ำศพ  ในเวลา ๑๗.๐๐ น. ที่วัดตรีทศเทพ
และจะมีการสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา ๗ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๕-๓๑ สิงหาคมนี้

อังคาร กัลยาณพงศ์  เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙
เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคนรักศิลปะและมีพรสวรรค์ด้านกวี
เข้าเรียนที่โรงเรียนเพาะช่าง  แล้วต่อที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากร
เป็นศิษย์ของ ศ. ศิลป พีระศรี, อ. เฟื้อ หริพิทักษ์ และ อ.เฉลิม นาคีรักษ์
โดยทำงานกับอาจารย์ทั้งด้านศิลปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

อังคาร กัลยาณพงศ์

ท่านอังคารเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นจิตรกรและกวีที่คงความเป็นไทย
ทั้งในด้านความคิดและรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นกวีที่มีความคิดเป็นอิสระ ไม่ถูกร้อยรัดด้วยรูปแบบที่ตายตัว
นับเป็นกวีผู้บุกเบิกกวีนิพนธ์ยุคใหม่ มีผลงานสร้างชื่อ อาทิ
ลำนำภูกระดึง, บางบทจากสวนแก้ว, บางกอกแก้วกำสรวล
หรือนิราศนครศรีธรรมราช, ปณิธานกวี  และหยาดน้ำค้างคือน้ำตาของเวลา ฯลฯ

รางวัลเกียรติคุณ
พ.ศ. ๒๕๑๕ รางวัลกวีดีเด่น ของมูลนิธิเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป
พ.ศ. ๒๕๒๙ รางวัลซีไรต์ จาก ปณิธาณกวี
พ.ศ. ๒๕๓๒ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์

ในด้านการทำงานศิลปะ ท่านอังคารเคยเล่าไว้ว่า
จินตนาการสำคัญมาก เราต้องใช้จินตนาการแบบพระเจ้าสร้างโลก
“สมมติว่าเราเป็นพระเจ้า แล้วมีโจทย์ว่าเราจะสร้างโลก จะสร้างอย่างไร
มันก็น่าคิด สนุก จริงๆ มนุษย์ก็มีสิทธิได้ ถ้ามนุษย์เรียนรู้ลึกถึงขั้นอารยะจริงๆ เราก็สร้างได้”

ส่วนในด้านการแต่งบทกวี ท่านอังคารเล่าถึงแรงบันดาลใจไว้ว่า
มนุษย์เราก็ต้องมีมโนคติ มีจินตนาการ
มนุษย์เท่านั้นที่จะแปลความมหัศจรรย์ฉงนฉงายของจักรวาลให้มีความหมายในโลกมนุษย์
จักรวาลพยายามสร้างอะไร มันมีแต่หินผา ทุกดวงดาวมีแต่หินผา แร่ธาตุอื่น
แต่ไม่มีสติปัญญา แก้วสารพัดนึกที่จะแปลความหมายของจักรวาลอันลี้ลับนี้มาได้

ท่านอังคารยังมีคำกล่าวว่า..

"การวาดรูป​กับการ​แต่งบทกวี​ต้อง​ใช้​ความคิด​กับจินตนาการ อาจ​จะผิดกันในเรื่อง​เทคโนโลยี​กับเทคนิค ​
แต่​ใช้จิตใจดวงเดียวกัน ​ทั้งงานเขียนรูป​และเขียนหนังสือก็​ต้องอาศัยมโนคติ
บางคน​เขาเรียก อิมเมจิเนชั่น ​ต้องมีจินตนาการ​ความคิด เหมือนคน​ที่สร้างนครวัด
​เขา​ต้องมีภาพมาก่อนว่าทำอย่างไรจึง​จะมีปราสาทขึ้น​มา ​
ถ้าเรามีมโนภาพกว้างใหญ่ไพศาล เราก็​สามารถสร้างสรรค์อะไร​​ที่ใหญ่โตขึ้น​มา ​
ถ้ามีมโนภาพคับแคบก็สร้างสรรค์อะไร​อยู่​ในกะลาเท่านั้น​"

"คนอื่น​เขาอาจ​จะ​ไปทำขนมครก ​ไปรับเหมาทางด่วน ​ไปทำอะไร​ก็​ได้ ​
แต่กวี​ต้อง​เป็นกวีอยู่​ทุกลมหายใจ คือ​โดยหลักจริงๆ​ แล้ว​
ผมยังเขียนบทกวีอยู่​เรื่อยๆ​ ​จะชำระของ​ที่ดูไม่ค่อยเรียบร้อย​ให้เรียบร้อย​ ให้หมดจดขึ้น​
มีถ้อยคำ​ที่ลงตัว ​คือพูดง่ายๆ​ ว่า ​ถ้าเราตาย​ไปแล้ว​
เราก็หมดโอกาส​ที่​จะเปิดฝาโลงขึ้น​มาชำระโคลงของเราให้เรียบร้อย​
คน​ที่เขียนกวี ​ถ้าบทกวีชิ้นใดไม่สมบูรณ์ ก็เหมือนเรา​ไปปรโลกแล้ว​ยังมีห่วงอยู่​


***


๛เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดิดกินทราย

๛จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ

๛ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์
ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้
ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ

๛แม้แต่ธุลีมิอาลัย
ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน
จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา

๛ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า
ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา
ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอยฯ

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น